옹성우 x 강다니엘
Rate_ PG
Words_ 316
บางทีความรักอาจไม่ได้เป็นอย่างที่คาดคิดเอาไว้
ไม่ได้สวยงาม ไม่ได้หอมหวาน
ไม่ได้เจ็บปวด ไม่ได้ทรมาณ
ไม่ได้งี่เง่าขนาดนั้น
ผ้าม่านที่เพิ่งอบมายังมีไอความอุ่นอยู่ สัมผัสได้จากปลายผ้าที่พริ้วมาถูกขาเมื่อต้องลม ผมทิ้งตัวเองเอนไปด้านหลังโดยมีมือค้ำยันอยู่แล้วเจ้าจังอาก็เดินผ่านบนตัวผมไป จากขาข้างขวาไปข้างซ้าย เหมือนกับว่าผมเป็นส่วนหนึ่งของพื้นบ้าน มันตรงไปยังถาดอาหารที่เพิ่งถูกเปลี่ยนใหม่
สำหรับเจ้าจังอา ความรักคงเรียบง่ายเพียงอาหารเม็ดในชามข้าว ผมเป็นเพียงผู้ให้อาหารที่ได้ความรักในความดีความชอบนั้น มันนอนหลับทับบนตัวผมหลังกินอิ่มแล้ว ผมปล่อยมันอยู่อย่างนั้นแล้วเงยหน้ามองก้อนเมฆที่ถูกกระแสลมพัดพาผ่านไป
เหมือนชีวิต เหมือนวันวาน
ก็แค่ลอยผ่านไป
ผมบังคับตัวเองให้ลุกขึ้น พระอาทิตย์เคลื่อนลงจากกลางหัวแล้ว อากาศกำลังดีและแดดก็ไม่แรงเกินไป – ดูท่าจะเป็นวันดี ๆ อีกวัน
แค่เปลี่ยนกางเกง กับสวมโค้ทตัวยาวก็ออกจากบ้านได้ ผมบอกลาจังอาที่ชะเง้อคอมองตาม เมื่อรับรู้ว่าเดี๋ยวผมก็กลับมามันจึงลดตัวลงแล้วนอนทับขาหน้าตามเดิม
_
ทางเดินคุ้นตา และบรรยากาศรอบ ๆ ที่ไม่ได้เปลี่ยนไปมากนักทำให้ผมนึกย้อนถึงเรื่องเก่า ๆ ที่เคยเกิดขึ้น ระหว่างทางที่เดินเอามือซุกกระเป๋าเสื้อ ผมมีแต่ภาพความทรงจำที่ถูกหยิบขึ้นมาฉายซ้ำใหม่ มันไม่เลือนลาง ไม่ขาดหาย ชัดเจนเหมือนกับว่าฟิล์มม้วนนี้ไม่ได้ผ่านมานานแล้วเลย
ใบไม้ใบหนึ่งร่วงตกตรงหน้าพอดีกับที่ผมหยุดยืนมองต้นของมัน ช่างสูงใหญ่ ช่างร่มรื่น เงาของมันปกคลุมไปรอบจนรู้สึกอย่างกับว่ากำลังถูกกอดเอาไว้
ถ้าเงานี่ไม่ขยับเปลี่ยนทิศ หรืออยู่แบบนี้ไปตลอดทั้งวัน ก็คงจะดี
เก้าอี้ใต้ต้นของมันเป็นที่ที่ผมเลือกทิ้งตัวลงไปเพื่อหยุดพัก สนามหญ้าข้างนอกร่มเงาของต้นไม้ที่อาบด้วยแสงแดดซึ่งไม่ได้ร้อนจนเกินไปนัก มีครอบครัวกำลังนั่งปิคนิคอยู่ห่างออกไป แม้จะมองเห็นความวุ่นวายเล็ก ๆ แต่ที่ตรงนี้ก็ยังสงบดี
ผมนั่งอยู่พักใหญ่ ๆ จนลมพัดเบา ๆ พาเอาความเย็นและใครคนหนึ่งมาหยุดอยู่ตรงหน้าผม
เรามองหน้ากันก่อนเขาจะนั่งลงที่ว่างข้าง ๆ บนเก้าอี้ตัวเดียวกัน คนมาใหม่เอนหลังเหยียดตัวจนสุด ขายาวของเขาเลยออกไปไกลแต่แค่เปปเดียวก็ถูกดึงกลับ ผมมองตามขานั้นเลยไม่ทันได้ตั้งตัวสำหรับคำทักทาย
“ไง มานานยัง”
เขามองผมอยู่ก่อนแล้ว ผมจึงตอบกลับ, “เพิ่งมา เมื่อกี้นี้เลย”
“ไปเดินดูร้านแถวนี้มา มีเปิดใหม่เยอะอยู่นะ”
“อือ แต่ส่วนใหญ่ร้านเดิม ๆ ก็ยังอยู่”
“อยากไปร้านเสื้อนั้นป่ะ ยังอยู่นะ ร้านที่นายชอบไปประจำน่ะ”
แม้ว่าจะเพิ่งเจอหน้าได้ไม่ถึงนาที แต่บทสนทนานี้ไหลลื่นอย่างกับว่าเราได้คุยกันมาก่อนหน้านี้ ทั้งที่ความจริงกินเวลาเป็นเดือนแล้วที่เราทั้งคู่ไม่ได้เจอกัน
คงเป็นความเคยชินและความผูกพันธ์ ที่ทำให้อะไร ๆ ยังคงเหมือนเดิม
เมื่อผมหัวเราะ เขาจะหัวเราะตาม เมื่อเราต่างเงียบ ไม่มีความอึดอัดใดเข้ามาแทรก
สบายใจเหมือนที่ได้อยู่อยู่ใต้ร่มเงาของต้นไม้ตอนนี้เลย
เราคุยกันไปเรื่อย พูดขึ้นเมื่อนึกเรื่องที่จะพูดได้ ระหว่างนั้นก็แค่ปล่อยเวลาไหลผ่านไป
จนกระทั่งแสงแดดค่อย ๆ ลาจาก ความอบอุ่นที่แผ่ปกคลุมทั่วบริเวณลับหายจากฟ้า เวลานั้นอากาศเริ่มเย็นขึ้นทันที
“เบียร์หรือกาแฟดี?” เขาถามขึ้นมา
ผมพรูลมหายใจออกทางปาก ยักไหล่แล้วมองไปรอบ ๆ ก่อนตอบ
“พี่ว่าจะหนาวกว่านี้ไหม คืนนี้น่ะ”
“อาจจะ คิดว่าหนาว ไม่รู้สิ”
“งั้นเบียร์แล้วกัน”
“โอเค”
_
“รู้อะไรไหม” เขาเริ่ม หลังจากที่เบียร์สดได้หายไปประมาณครึ่งแก้ว ผมแค่รอให้เขาพูดต่อพลางฟังดนตรีภายในร้านไปด้วย
เหมือนผมรู้อยู่แล้วว่าเขาจะพูดเรื่องอะไร
“นายมันตลกดี”
“ไม่ยอบรับหรอกนะ”
“น่าขันจะตาย นายน่ะ” เขาชี้
“พอเหอะ”
ผมบอกปัด ทิ้งหลังไปกับพนักพิงโซฟาเพื่อแสดงออกว่าประเด็นนี้น่าเบื่อจนไม่อยากจะหยิบมาพูดอีก
เราต่างเงียบ มีแค่เสียงแซกโซโฟนที่ปกคลุมบรรยากาศเอาไว้ จากนั้น ไม่ทันจบเพลง เขาก็ทนต่อไปไม่ไหว
เสียงของเขาจริงจังขึ้นกว่าเดิม
“ไม่รู้ว่านายรู้สึกไหม แต่ถ้าไม่ ฉันจะบอกว่าฉันรู้สึก”
“มันไม่สำคัญหรอก”
เขาก็ยังพยายามที่จะพังกำแพงลง
เขาคงไม่รู้ ว่าหมดจากปราการนี้ ผมก็ไม่เหลืออะไรไว้ให้ปกป้องตัวเองอีกแล้ว
“เขาถามถึงนาย”
ผมเงียบ – หลังจากคำบอกเล่านั้นผมไม่สามารถพูดอะไรต่อได้ เขาจ้องมาที่ผม ทำให้ต้องเบี่ยงสายตาไปที่อื่น ผมรู้ว่าถ้ายอมให้เขามองมาลึกกว่านั้นเขาจะเห็นตัวผมที่หลบซ่อนอยู่
ดนตรีแจ๊สไม่เคยทำให้รู้สึกเศร้าได้มากเท่านี้
เหมือนกำลังถูกบีบ
ผมเลี่ยงการสบสายตา
“ฉันรู้ว่านายจะไม่ถามต่อ แต่ฉันจะบอก”
“พี่-”
“จะเป็นแบบนี้ไปอีกนานแค่ไหนกันล่ะ แดเนียล”
น้ำเสียงเชิงเหนื่อยหน่ายปนมากับแววตาขอร้อง เขาที่อายุมากกว่าทำให้ผมต้องยอมลดท่าทีตัวเองลง
“สุดท้ายแล้ว ยังไงนายก็ต้อง-”
“พี่ดงโฮ”
ผมเอ่ยปรามเขา ก่อนที่เขาจะพูดสิ่งที่เสียดแทงความรู้สึกของผม – คือความจริง
เขามองผมนิ่งอยู่ชั่วครู่ แล้วถอนหายใจ เสียงกระดิ่งที่ประตูทางเข้าดังขึ้นพอดี เหมือนจะบอกว่ายกแรกเพิ่งได้ผ่านไป
แล้วเขาก็พยายามอีกครั้ง
“นายไม่ติดต่อกลับ.. ก็แน่ล่ะ ย้ายที่อยู่ใหม่แต่ดันส่งไปที่เดิม จะตอบกลับยังไง มันได้คิดบ้างไหม”
“เขาไม่รู้นี่นา”
ดงโฮตวัดตามองผม ซึ่งผมก็ได้แต่ยิ้มบาง ๆ ให้
“ตกลงแล้ว อยากเจอหรือไม่อยากเจอ”
คำถามที่ผมเคยใช้ถามตัวเองออกมาจากปากเขา ผมหันไปมองโต๊ะกลางร้านที่มีคู่รักหนุ่มสาวนั่งอยู่ ปล่อยใจลอยอยู่สักพักถึงจะตอบ
“ก็ไม่เคยบอก ว่าไม่อยาก”
ชายผมสีเข้มปาดเอาฟองเบียร์ที่ติดอยู่บนปากของเธอออก มองเห็นความรักอยู่เต็มแววตาแม้ว่าผมจะนั่งห่างจากเขาไปสามโต๊ะ
“ไม่อยากแล้วหนีทำไ-”
“พี่มาเพื่อถามเท่านี้เหรอ”
ผมรู้ว่านั่นมันเสียมารยาท แต่ผมก็ไม่ต้องการที่จะตอบในสิ่งที่ผมเองก็ตอบไม่ได้ เขาชะงักที่ถูกเอ่ยขัด ไม่มีท่าทางจะโกรธเคืองอะไร แค่นิ่งงันไปเฉย ๆ
แล้วผมก็ได้ยินเสียงถอนหายใจดังขึ้นอีก
ไม่น่าเชื่อว่าพอนั่งเงียบ ๆ แล้วหวนคิดถึงอดีต ผมแทบไม่รู้ตัวเลยว่ามันผ่านมากี่ปีแล้ว ผมก็เพียงแค่ใช้ชีวิตของตัวเองในแต่ละวันให้ดีเพื่อจะได้ไม่นึกย้อนเสียใจทีหลัง
บอกไม่ได้ว่าทำไม แต่ผมก็รู้สึกได้ว่าเขาก็คงทำอย่างเดียวกันนี้
ผมหลุดจากภวังค์เมื่อคนอีกฝั่งของโต๊ะเริ่มบทสนทนาใหม่
แต่ยังคงเป็นเรื่องเดิม
“นายหลบมาตั้งแต่ก่อนหมอนั่นจะแต่งงาน”
ความเงียบคือสิ่งที่ผมเลือกใช้ตอบกลับไป
“ได้ข่าวอะไรก็มาจากฉัน ที่เป็นคนกลางได้ยังไงก็ไม่รู้” ดงโฮว่าพร้อมกับเท้าแขนลงบนโต๊ะแล้วถูหัวคิ้วตัวเอง พูดต่อทั้งที่ยังหลับตา “ที่มาก็เพื่อจะบอกเรื่องใหม่”
“…”
“ว่าถ้านายจะกลับไป..”
เขาเว้นช่วง หลับตาแน่นขึ้น นั่นยิ่งสร้างความกังวลให้ผมกับประโยคต่อไปของเขา
“..แดเนียล”
“ผมฟังอยู่”
ดงโฮลืมตาในที่สุด มองตรงมาที่ผม จ้องเหมือนอยากจะแน่ใจอะไรบางอย่าง
“ถ้าจะกลับไป.. ตอนนี้มีสมาชิกใหม่ที่นายต้องทำความรู้จัก”
“ลูกของเขาน่ะ”
“เด็กผู้ชาย” เขาพูด “เป็นเด็กผู้ชาย..” ย้ำอีกครั้ง
เป็นช่วงที่ดนตรีเงียบไปเพราะรอยต่อระหว่างเปลี่ยนเพลง ราวกับจงใจเพื่อให้ผมได้ยินประโยคนั้นชัดเจนยิ่งขึ้นอีก
แล้วความรู้สึกที่เหมือนว่าภายในของตัวเองถูกหลุมดำกลืนหายไปก็ค่อย ๆ แผ่กระจายไปทั่วอก
จนกระทั่งปลายประสาทที่มือผมรู้สึกเย็นวาบ
ผมต้องงอนิ้วกำหมัดเอาไว้ เพื่อย้ำว่าตัวผมยังคงอยู่
ผมรู้ว่าเขาอยากได้ลูกสาว
แต่ถึงอย่างนั้นเขาก็จะรักเด็กที่เกิดมามาก ๆ อยู่ดีไม่ว่าเขาจะเป็นเพศอะไร
“..แข็งแรงดีนะ?”
หลังจากที่เกือบหาเสียงตัวเองไม่เจอ ประโยคคำถามที่เอ่ยออกไปเลยฟังดูเหมือนแตกพร่านิดหน่อย ผมยกแก้วเบียร์ขึ้นจิบแล้วกระแอม
“..ฉันอยากรู้มาก.. ว่าคำแรกที่นายจะตอบคืออะไร” ดงโฮลดแขนบนโต๊ะลง “อือ ใช่.. เด็กแข็งแรงดี”
“พระเจ้าทรงโปรด”
“เขาอยากให้นายไปเจอ”
ดนตรีกลับมาถูกบรรเลงอีกครั้ง ตอนนั้นเองที่ผมเพิ่งทันสังเกตว่าหนุ่มสาวโต๊ะนั้นได้เดินออกจากร้านไปแล้ว
“..ผมจะให้คำตอบเร็ว ๆ นี้” เป็นคำตอบของผมที่ตัวเองก็ไม่แน่ใจนัก แต่ก็ย้ำกลับไป “คงไม่ใช่ตอนนี้ครับ ขอโทษด้วย”
เขายิ้ม เป็นเพียงรอยยิ้มจาง ๆ
“ไม่เห็นต้องขอโทษเลย”
_
เงินสดจำนวนหนึ่งถูกวางไว้บนโต๊ะฝั่งของเขา ดงโฮที่ทิ้งเบียร์อีกครึ่งแก้วไว้กำลังจะเดินออกจากร้านไป ผมจึงก้มลงมองมือที่ผสานกันไว้บนตักตัวเอง มันยังมีรอยแดงจากการถูกบีบเข้าหากันแน่นเมื่อครู่ที่ผ่านมา
“อึยกอน”
ชื่อเก่าแสนแปลกหูทำให้ผมเงยหน้า ดงโฮยังคงหันหลังแต่หยุดยืนนิ่งที่หน้าประตู มือจับค้างอยู่ที่ราวจับ
“ครับ”
ผมขานรับเมื่อเขานิ่งอยู่นาน
ดงโฮมีทีท่าลังเล เขาหันมามอง
“ลูกชายของหมอนั่นน่ะ”
“ชื่ออึยกอน”
แล้วเสียงกระดิ่งก็ดังขึ้น เป็นสัญญาณบอกว่าดงโฮได้เดินออกไปจากร้านแล้วจริง ๆ
_
บางที
สำหรับผมแล้ว ความรักก็ยังอาจไม่ได้เป็นสิ่งที่คาดเดาได้ แต่แน่นอน
มันไม่ได้สวยงาม และไม่ได้หอมหวาน
แต่ไม่ได้เจ็บปวด ไม่ได้ทรมาณ
ไม่ได้งี่เง่าขนาดนั้น
ความรักก็คือความรัก
มันไม่เป็นอื่นอีกแล้ว
เจ้าจังอาเดินผ่านหน้าประตูพอดีในตอนที่ผมกลับมาถึง มันส่งเสียงร้องแล้วเข้ามาคลอเคลียทันทีที่เห็นผมไขกุญแจเข้าบ้านมา ผมย่อตัวลงไปอุ้มมันขึ้นมาแนบอก มอบความรักให้แมวสีขาวที่ถูกปล่อยให้อยู่บ้านตัวเดียวครึ่งค่อนวัน
“ไง อยู่คนเดียวไม่ซนนะ?”
เมี๊ยว มันตอบ, ก่อนจะเอาจมูกมาดุนที่ข้างแก้ม
แล้วก็ชะงัก ดันหน้าตัวเองออกเมื่อสัมผัสกับความเปียกบนใบหน้าของผมที่เปรอะน้ำตา
จังอานิ่งสักพักเหมือนกำลังคิดตัดสินใจแล้วโน้มเข้ามาใหม่เพื่อเลียแก้มให้ผม
“ขอบใจนะ”
เมี๊ยว
“อือ ฉันก็รักแกเหมือนกัน”
–
The End
ขอบคุณใครก็ตามที่หลงเข้ามาเสพกันนะคะ
นี่ก็เป็นอีกเรื่องที่แต่งค้างไว้แล้วอยากต่อให้จบค่ะ
(รู้เลยนะว่ามีค้างเยอะมาก)
ไม่รู้ว่าเป็นยังไงบ้าง เราค่อนข้างกังวลกับเรื่องนี้พอสมควรเลย กล้าๆกลัวๆจะลงดีไหมหรือไม่ลงดี ฮือ
จะชื่นใจมากเลยถ้ามีคอนเมนต์บอกกันคั้บ ,_, ฮุ่ก
เม้นในนี้หรือแท็ก #Dannyw_fic ในทวิตก็ได้นะฮับ ♡
🌻
บรรยายดีมากเลยค่ะ
รู้สึกใจโหวงไปเลยตอนเรียกอึยกอน😢😢😢😢
LikeLiked by 1 person